วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

แนะนำเมนูเด็สทำกินมาแล้วไป(ไปหาชื้อปลาแซลมอนที่นัดห้วยตะแคงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง



ปลาแซลมอนโชยุซอส ส่วนผสม
ปลาแซลมอนหั่นชิ้นใหญ่ 2 ชิ้น
ขิงขูดหรือสับละเอียด 1/2 ช้อนชา
กระเทียมขูดหรือสับละเอียด 1/2 ช้อนชา
น้ำสะอาด 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วญี่ปุ่น(โชยุ) 2 ช้อนโต๊ะ
มิริน 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา
ผักเครื่องเคียง เช่น ผักกวางตุ้งต้นเล็ก ผักกวางตุ้งไต้หวัน เห็ดกระดุม ข้าวโพดอ่อน เป็นต้น

วิธีทำ
1. ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดรวมทั้งขิงและกระเทียม แช่ปลาไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วทอดน้ำมันน้อย ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน และค่อยๆ ราดซอส ทอดจนสุก2. ลวกผักเครื่องเคียงแล้วผัดกับน้ำมัน ตักใส่จานแล้ววางชิ้นปลาให้สวยงาม

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551




การเดินทาง...ของ "แม่" คนหนึ่ง น่าสงสารมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ‏พบกับเรื่องราวของ ' ผู้เป็นแม่' ที่น่าเศร้าใจเรื่องหนึ่ง
ในวันที่สามของการไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรีสมมุติว่าแกชื่อว่า... ' ป้าใจ' ก็แล้วกันนะคะ ฉันได้รู้จักกับแกก็เพราะว่า.. เจ้าหน้าที่ให้ฉันย้ายข้าวของออกจากโรงเรือนที่นอนมาแล้วสองคืน ไปหาที่นอนใหม่ เพราะว่าจะมีคณะของทหาร (ไม่รู้มาจากหน่วยไหน) ประมาณ 300 นาย ถูกส่งมาฝึกปฏิบัติกรรมฐานในบ่ายวันนั้น ฉันหอบของเดินมาที่โรงเรือนใกล้ ๆ กัน เปิดประตูเข้าไป มองเห็นที่ว่างอยู่ จึงตรงปรี่ไปที่นั่นทันที และตรงนั้น มีป้าใจ กำลังนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่ แรก ๆ ฉันออกจะไม่ไว้ใจป้าแกนัก เพราะแกบอกว่า แกเป็นคนร่อนเร่ ร่อนเร่ไปตามวัดต่าง ๆ ไปอาศัยข้าววัดกิน อาศัยที่วัดนอน... ออกจากวัดนั้น ไปวัดนี้ ไปเรื่อย ๆ ไม่มีจุดมุ่งหมาย... ใครบอกที่วัดไหนมีคนไปเยอะ แกก็จะไปวัดนั้น เพราะนั่นหมายความว่า... แกจะมีข้าวกินพออิ่มรอดไปวัน ๆ แน่นอน ยามฉันนอน ฉันก็จะระวังตัว ทั้ง ๆ ที่ไม่มีของมีค่าอะไรติดตัวไป โทรศัพท์ก็ไม่ได้พกไป จะมีก็แค่สร้อยทองที่คล้องอยู่กับคอ เส้นก็ไม่ใหญ่นัก สตางค์ที่พกไปพอทำบุญ และใช้หนี้สงฆ์ กับซื้อหนังสือของหลวงพ่อกลับบ้าน อีกวันถัดมา แกก็มาบอกลา ว่าจะกลับแล้ว จะติดรถไปกับเพื่อนใหม่ ที่แกมารู้จักที่นี่ แกเปลี่ยนจากชุดขาว เป็นชุดธรรมดาเรียบร้อย รอติดรถเพื่อนแกจะไปลงแถว ๆ ลาดพร้าว คืนวันนั้น ฉันยังเจอแกใส่ชุดขาวอีกครั้ง นอนเอามือก่ายหน้าผากเหมือนเดิน ฉันไม่ได้ถาม หรือซักไซร้ไล่เรียงอะไรแก แต่กลับรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก พลันคิดต่อตัวเองว่าในใจว่า... ทรัพย์สินของฉันเมีเพียงแค่นี้...ฉันก็ยังทำหวงไปได้ ทำให้จิตใจตัวเองกังวลไปเปล่า ๆ ดูป้าแกไม่ใช่คนมือไว หรือคน 'ขี้ขอ' เลยสักนิด ฉันไม่เคยเห็นแกขอเงินใครสักคนเลย รุ่งเช้า หลังจากทำวัตรเช้า และทานอาหารเช้าเสร็จ ฉันจึงนั่งคุยกับป้าใจอย่างเป็นทางการครั้งแรก ' ป้าเป็นคนที่ไหนเหรอคะ' ' ป้าเป็นคนเพชรบูรณ์จ้ะ' ' ป้าไม่มีลูกบ้างเหรอคะ' ' ป้ามีลูกสามคน สองคนน่ะเป็นผู้ชาย โตกันหมดแล้ว คนเล็กเป็นลูกสาว ป้ายกให้คนขับรถตู้ที่รู้จักกันตั้งแต่แปดขวบ' ' แล้วทำไมป้าไม่ไปอยู่กับลูกชายล่ะคะ ทำไมป้าต้องมาร่อนเร่อย่างนี้ด้วย' ป้าเงียบไปพักหนึ่ง นั่งชันเข่า แล้วกอดเข่าเอาไว้ เหมือนจะหาหลักยึดร่างกายแกเอาไว้ กันมันสั่นไหวโยกไปตามแรงสะอื้น ที่แกพยายามปกปิดฉัน ด้วยการหันหน้าไปทางอื่น ' ป้าไปหามันแล้ว มันไม่ให้ป้าอยู่ด้วย มันบอกว่าเพิ่งโดนไล่ออกจากยามมา ลูกป้าตนนี้มันทำงานไม่ทนร้อก' ' แปลว่าเค้ากำลังตกงานเหรอคะป้า' ' มันได้งานใหม่แล้ว เป็นยามอยู่แถวรังสิต แต่มันไม่ให้ป้าอยู่ด้วย เพราะมันเพิ่งทำงาน มันบอกมันไม่มีปัญญาเลี้ยงป้าน่ะ' ' ดูป้าก็ไม่ใช่คนกินจุซักหน่อยเนาะ แล้วลูกชายป้าอีกคนล่ะ' ' คนนั้นน่ะ มันทำให้ป้าต้องมาร่อนเร่อยู่อย่างนี้ไงล่ะหนู' ' อ้าว...ทำไมเหรอคะ' ' ก็มันน่ะไปหุ้นกะผู้หญิง แล้วผู้หญิงเค้าโกงไปหมดเลย มันก็เลยกลับมาอยู่บ้าน กลับมาก็ไม่ทำอะไรหรอก หาเรื่องทะเลาะกับญาติคนโน้นคนนี้เค้าไปทั่ว ทะเลาะกันจนเค้าตัดไฟบ้านป้าเลย ป้าขอต่อพ่วงไฟจากบ้านเค้ามาน่ะ' ' ทะเลาะกันรุนแรงเลยสิคะ' ' ฮื่อ พอเค้าตัดไฟ ไอ้ลูกป้าก็หนีหายไปอยู่ที่อื่น พอมันไปแล้ว ญาติ ๆ ก็มายืนด่าป้าปาว ๆ ที่หน้าบ้านทุกวัน ว่าเลี้ยงลูกไม่ดี ป้าก็อับอายเค้า แถมมืดลงก็มองอะไรไม่เห็น เพราะเค้าตัดไฟ ป้าก็เลยต้องออกมาร่อนเร่อย่างนี้แหละหนู มันคงเป็นกรรมเวรของป้าเอง ป้าเลี้ยงพวกมันมาตั้งแต่เกิด ไปทำงานก่อสร้างที่ไหน ๆ ก็ต้องหอบกระเตงมันไป ป้ากินอย่างอด ๆ อยาก ๆ เพราะต้องหาให้มันกินจนอิ่มก่อน หาเงินส่งเสียให้พวกมันเรียนจนจบม. 3 พอมันโตทำงานกันได้ ป้าก็ยังต้องอด ๆ อยาก ๆ เหมือนเดิม ไม่รู้นะ ว่าป้าทำกรรมทำเวรอะไรมา' ฟังถึงตรงนี้ กลับเป็นฉันเองที่ต้องแอบเบือนหน้าหนีแก เช็ดน้ำตาที่ไหลเป็นทางป้อย ๆ ด้วยความสงสาร เออหนอ...โลกนี้ช่างขาดความยุติธรรมเสียจริง ๆ ทีกับฉันที่อยากจะเลี้ยงดูพ่อใจแทบขาด สวรรค์ก็แกล้งเอาลมหายใจพ่อของฉันไปดื้อ ๆ ซะอย่างนั้น แต่กับป้าคนนี้ สวรรค์กลับปล่อยให้แกมีลมหายใจอยู่อย่างทุกข์ทน ทำไมลูก ๆ ของป้าจึงกลับไม่เหลียวแลเลยสักนิด... ทำไมพวกเค้าไม่ยินดีกับ โอกาส ที่ได้...โอกาสที่ฉัน หรือใครอีกหลาย ๆ คนต้องการที่จะได้รับ ทำไมพวกเค้าปฏิเสธ โชคดี ที่พวกเค้ากำลังได้รับ..โชคดี ที่ฉัน หรือใครอีกหลาย ๆ คนก็วาดหวัง ' แล้วป้าจะไปไหนต่อจ๊ะ' ' จริง ๆ ป้าก็อยากทำงาน แต่ไปที่ไหน ๆ เค้าก็ไม่รับ บอกว่าป้าแก่แล้ว พอดีเพื่อนคนเมื่อวานที่ป้าจะกลับด้วยน่ะ เค้าให้ที่อยู่ไว้ ให้ป้าไปสมัครเป็นแม่บ้านที่ปั๊มน้ำมันเพื่อนเค้าน่ะ' ' ดีจัง แล้วป้าจะไปยังไงล่ะคะ' ' พอดีเมื่อวาน รถเค้าเต็ม วันนี้สาย ๆ ป้าว่าจะออกไปนั่งรถเมล์ไปกรุงเทพน่ะ' ' แล้วป้าไปถูกเหรอคะ' ' ป้าไปมาหมดทั่วประเทศแล้ว ไปไม่ยากร้อก แค่ลาดพร้าว 85 เอง' ' ฮ่ะ ๆ ป้าเก่งกว่าหนูอีกนะเนี่ย หนูยังไปกรุงเทพไม่ค่อยถูกเลย' ป้าแกส่งเสียงหัวเราะตามฉันพร้อมพูดว่า... ' ถ้าหนูอยากไปไหนบอกป้านะ เดี๋ยวป้าจะพาไป' ฉันเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ จะแปดโมงแล้ว ถึงเวลาปฏิบัติกรรมฐานอีกแล้ว ฉันจึงขอตัว ก่อนจากกัน ฉันหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนรูดซิบกระเป๋าใบเล็กที่คล้องคออยู่ ที่แสนจะหวงนักหวงหนาเมื่อคืนก่อน ฉันควักเงินออกมาแล้วยัดใส่มือแก พร้อมพูดว่า ' หนูช่วยป้าพอค่าเดินทาง กับค่าอาหารได้แค่สองวันนะจ๊ะ' ป้าใจแกยกมือท่วมหัว ปากก็พร่ำคำขอบคุณคำอวยพรต่าง ๆ นา ฉันมองเห็นใบหน้าป้าที่เปี่ยมสุข...ก่อนฉันหันหลังเดินจากป้าใจมา พร้อมน้ำตาที่เอ่อท่วมท้น... เงินเพียงน้อยนิด สร้างสุขให้ป้าได้ขนาดนี้เชียวหรือ แล้วป้าเค้าจะได้งานทำหรือเปล่านะ หากไม่ได้งานทำเพราะเหตุผลเดิม ๆ ป้าใจแกก็ต้องเดินทางร่อนเร่ไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิม... ชีวิตแก จะต้องเดินทางต่อไปอีกยาวไกลแค่ไหนนะ... ฉันขอภาวนา ให้ลูก ๆ ของป้าสักคน หยุดการเดินทางของ 'แม่' ของเขาด้วยการเลี้ยงดูด้วยเถอะ แกต้องการแค่ที่นอน และอาหารเพียงสามมื้อที่ไม่ต้องซื้อหามาด้วยราคาแพง ๆ ...แค่นั้นเอง
ยามเด็กแม่อุ้มชู...เลี้ยงดูเจ้า แม่ต้องเฝ้ายามเจ้าป่วย ร้องไห้จ้า ต้องแบกหาม จนบ่าทรุดเลี้ยงเจ้ามา ทั้งการศึกษาให้แก่เจ้า...อย่างลำเค็ญ แม่เพียงหวังเห็นเจ้าได้เติบใหญ่ พร้อมกับใจรักแม่ ที่ยากเข็น ไม่เคยขอสิ่งใดเกินจำเป็น เพียงทำเช่นแม่เคยทำ...กับเจ้ามา ลูกหลายคนแม่เลี้ยงเจ้ามาได้ แม่คนเดียวไฉน...จึงปล่อยลำบากหนา ต้องเร่ร่อนนอนวัดพลัดถิ่นมา กินน้ำตาต่างข้าวไปวัน..วัน แลกข้าวแม่แต่ละมื้อ..กับบุหรี่ได้ใหมเล่า ที่เจ้าเฝ้าเผาพ่นเพลินอย่างสุขสันต์ แลกที่ซุกหัวนอนให้แม่..กับน้ำจันท์ ขอแลกมันกับค่าน้ำนมแม่...ได้ใหมเอย เพียงแค่นี้...ทำไมทำให้แม่ตัวเองไม่ได้นะ ( ถึงกับน้ำตาไหลเลย...คิดถึงแม่จังเลย )

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2551

ปืนใหญ่ทำไงเป็นอย่างงี้ไปได้หว่า...เซ็งเลย


เวนเกอร์โทษเปาทำปืนเจ๊งหงส์
อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือมาดละเมียด "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ออกโรงจวกเชิ้ตดำ ปีเตอร์ โฟรดเฟลด์ ซึ่งเป่าให้ ลิเวอร์พูล ได้จุดโทษอย่างน่ากังขาในช่วงท้ายเกมว่า มีส่วนสำคัญที่ทำให้ "เดอะ กันเนอร์ส" พลาดท่าปราชัยในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่ 2 และกระเด็นตกรอบไปอย่างน่าเจ็บกระดองใจ ชมลูกทีมใจแกร่งดุจเพชร แต่ยังอ่อนประสบการณ์เกินไปนิด
อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล เชื่อว่า การทำหน้าที่ผิดพลาดของผู้ตัดสิน ปีเตอร์ โฟรดเฟลด์ ซึ่งตัดสินใจเป่าให้ ลิเวอร์พูล ได้จุดโทษในนาทีที่ 85 หลัง ไรอัน บาเบล ถูก โคโล่ ตูเร่ ชนล้มในเขตโทษว่า มีส่วนสำคัญที่ทำให้ "เดอะ กันเนอร์ส" ตกเป็นฝ่ายปราชัย "หงส์แดง" ขาดลอย 2-4 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่ 2 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และกระเด็นตกรอบไปอย่างเจ็บปวดด้วยประตูรวม 2 นัด 3-5
เวนเกอร์ กล่าวว่า "ผมเชื่อว่า ความพ่ายแพ้ของเราในวันนี้ (วันอังคาร) เป็นเพราะการตัดสินที่น่าเคลือบแคลงใจของผู้ตัดสิน และการขาดสมาธิของเราในขณะที่สกอร์อยู่ที่ 2-2 มันยากที่จะยอมรับ มันน่าผิดหวังเป็นสองเท่าเพราะการตัดสินครั้งสำคัญต่างก็ไม่เข้าข้างเรา และเหลืออีก 3 นาทีเราก็จะได้ผ่านเข้ารอบแล้ว"
"มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจสำหรับผม เพราะสำหรับผมมันไม่ใช่จุดโทษ ผมย้อนกลับไปดูเหตุการณ์อย่างชัดเจนอีกครั้ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (จังหวะที่ เดิร์ค เค้าท์ ทำฟาวล์ อเล็กซานเดอร์ คเล็บ) มันเป็นจุดโทษอย่างแท้จริง แต่เราต้องยอมรับ เราไร้เดียงสาเกินไป เราขาดความเป็นผู้ใหญ่เล็กน้อยในการเล่นเกมรับ เราคุมเกมได้มาก"
"ความแข็งแกร่งทางสภาพจิตใจของเรายอดเยี่ยมมากในค่ำคืนนี้ มันเป็นเพราะเราขาดประสบการณ์ ทีมชุดนี้มีผู้เล่นพรสวรรค์ และมีศักยภาพอยู่มากมาย แต่เราขาดความมั่นใจไปนิดนึง คืนนี้เรารู้สึกผิดหวัง และรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม" กุนซือมาดละเมียด กล่าวในที่สุด


พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" นี้เป็นกฎความจริงธรรมดาที่จะเป็นอย่างอื่นไปไม่มีผู้คิดอย่างคนพาลว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป คนที่พูดอย่างนี้ เพราะเขาทำความดีไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าการทำความดีนั้นจะต้องทำให้ ถูกดี ถึงดี และ พอดีถูกดี ก็คือ ทำดีให้ถูกกาลเทศะให้ถูกจังหวะ และพอเหมาะพอสมถึงดี ก็คือ ทำดียังไม่ทันถึงดี ก็เบื่อหน่ายเกียจคร้านเลิกทำดีเสียแล้ว พอดี ก็คือ บางคนทำดีเกินพอดี ล้ำหน้าเพื่อนฝูงเอาเด่นเอาดังเพียงคนเดียว อย่างนี้จะดีได้อย่างไรการทำความดีนั้น นอกจากจะต้องรู้กาลเทศะ และโอกาสที่เหมาะสมแล้ว ยังจะต้องดูความเกี่ยวข้องกับบุคคลกับกลุ่มคนกับสังคมด้วย การวางตัวดีตามความเหมาะสมต้องไม่มีลักษณะอันใดส่อให้เห็นว่า ออกจะประเจิดประเจ้อมากไป เสนอหน้ามากไปหน่อย เรื่องของการทำความดี ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าเกินๆ เลยๆ ไปก็ไม่ดี เพราะในสังคมคนธรรมดา มีคนบางพวกพร้อมที่จะทำลาย พร้อมที่จะคอยจับผิดอยู่ อย่างคำที่ท่านว่า
"อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดีแต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัยไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน"เรื่องกฎของกรรมตามที่กล่าวมาแล้วว่า "ใครทำกรรมอันใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม จะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น" เพราะอะไร ก็เพราะว่าทำความดีมันจะดูดดีเข้ามา ทำความชั่วมันก็จะดูดชั่วเข้ามาเช่นกัน เรียกว่า ดีดูดดี ชั่วดูดชั่ว เราทำแต่ความดีมีความซื่อสัตย์สุจริตขยันขันแข็งในการทำงาน ไปทำงานที่ไหน บริษัทห้างร้านไหนก็ยินดีรับเข้าทำงานทั้งนั้น นี่คือ ดีดูดดี ดูดทั้งงาน ดูดทั้งเงิน ดูดเจ้านายผู้บังคับบัญชาให้มารักใคร่เอ็นดู อันเป็นผลของการทำความดีนั่นเองในทางตรงกันข้าม คนที่สร้างความชั่วไว้มากๆ ก็เป็นแรงดึงดูดเหมือนกัน แต่มันดูดเอาสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาให้มาทำลายตน เช่น ดูดเอาความเกลียดชัง ดูดเอาโทษทัณฑ์ ดูดเอาคุกตะราง เป็นต้น บางคนที่ร้ายมากๆ สามารถดูดเอาตำรวจทั้งโรงพักให้วิ่งตามไปจับ ไปทำลาย ก็มี นี่คือ ชั่วดูดชั่ว ซึ่งเป็นผลของการทำความชั่วดังนั้น เราทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม จะเชื่อเถิดว่า ถ้าได้กระทำความชั่วแล้วจะไม่ได้รับผลชั่วที่เป็นบาปเป็นทุกข์นั้นเป็นไปไม่ได้ จะต้องได้รับแน่ๆ เร็วหรือช้าเท่านั้น ถึงแม้ชาตินี้ผลกรรมชั่วยังไม่ให้ผลก็จะต้องได้รับในชาติต่อๆ ไปอย่างแน่นอนยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มทำความดี ถ้าได้ประพฤติปฏิบัติโดยสม่ำเสมอจนเป็นปกตินิสัยแล้ว นั่นก็คือเราได้พัฒนาจิตของเราให้สูงขึ้น เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ และจะเป็นคนดีได้ตลอดไปด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551

ฟ้ามืดจึงเห็นดาว



ท้องฟ้ายามมืดสนิท...มองไม่เห็นแม้เส้นทางเดินข้างหน้าความรู้สึกหวาดกลัว เหน็บหนาว เคว้งคว้างย่อมก่อตัวเกิดขึ้นได้ไม่ยากเย็นคนเรามักจะหวาดกลัว...ต่อสิ่งที่สายตาไม่อาจจำแนกรายละเอียดได้ทั้งที่ในความเป็นจริง...ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน...มืดหรือสว่างเหมือนกับเส้นทางเดินของชีวิตอุปสรรคและความผิดพลาดที่ถาโถมเข้ามาทำให้เราเหน็บหนาว หวาดกลัวและเคว้งคว้างเหมือนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของความรู้สึก...มองไม่เห็นหนทางแห่งปัญหาทั้งปวง...แพ้...เราอาจจะพ่ายแพ้ต่อความมืดมิดนั้นความอดทนที่ตั้งไว้เริ่มเหมือนจะขาดผึงได้ยินแต่ความเงียบเชียบของความรู้สึกเพราะดวงตาได้มืดมิดจ่อมจมกับความสิ้นหวัง......แต่...ในความมืดมิดของท้องฟ้า...หากปรับดวงตาให้คุ้นชิน เราจะมองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้บ้างแม้เพียงราง ราง แต่ก็เพียงพอที่จะมองเห็นเชื่อเถิดว่า...ไม่มีความมืดมิดใด จะมืดมิดอย่างแท้จริงและหากเราแหงนมองขึ้นไปดวงดาวมากมายส่องแสงประกายเจิดจ้าวับวาวยิ่งท้องฟ้ามืดสนิทมากเท่าไรดวงดาวก็จะยิ่งสวยระยิบยามค่ำคืน เช่นกันแสงดาวดวงน้อยแม้ริบหรี่...จะเป็นดั่งคบเพลิงสว่างโชติช่วงในหัวใจของคนที่ว่างเปล่าอบอุ่นดั่งแสงดวงตะวันส่องนำให้นักเดินทางผู้เหน็บหนาวท่ามกลางปัญหา ความท้อแท้สิ้นหวังหากปรับความรู้สึกให้คุ้นชินหลับตาลง...เปิดหัวใจให้หัวใจได้ฟังเสียงความรู้สึกให้ความคิดได้โลดแล่นอย่างอิสระเราจะสามารถมองเห็นหนทางข้างหน้าได้เช่นกันเชื่อมั่นเถิดว่า...ไม่มีปัญหาใด...ไม่มีทางออกขอความสงบนิ่งเป็นดั่งดาวดวงน้อยช่วยส่องนำใจของนักเดินทางแห่งชีวิตผู้สิ้นหวัง ให้พลังอบอุ่นแห่งความเข้มแข็งโอบอุ้มและเยียวยาความเหน็บหนาวของหัวใจรำลึกไว้เสมอว่า...“เพราะฟ้ามืดดาวจึงสวย”หากไม่ข้ามพ้นอุปสรรค...ใยจะถึงที่หมาย"เข้มแข็งไว้...คนดี"
ที่มา :ทำดีดอทเนต

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550


นึกว่าเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง
* ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่!
* หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง
* ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
* เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ
* ควรหัดพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า “จะเอายังไง”
* สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟังได้
* อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550